Photo credit : www.sopon.ac.th
ตั้งแต่เริ่มจำความได้ ผมคุ้นเคยกับคำว่า “ในหลวง” ที่บ้านยาย บ้านแม่ ร้านค้า ร้านอาหาร สถานที่ราชการ ฯลฯ จะมีแต่รูปพระองค์ท่านแขวนตามฝาผนัง เวลาดูข่าวทีวี ข่าวในพระราชสำนัก ก็จะมีแต่ข่าวในหลวง แม่ก็ดูจะชื่นชมและพยายามเรียกให้พวกเราดูด้วยเสมอ
ตอนเรียนชั้นประถมที่สาธิตจุฬาฯ อยู่ถนนพญาไท ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุกปีทางโรงเรียนจะเกณฑ์นักเรียนไปยืนเรียงแถวเพื่อรับเสด็จในหลวงในงานพระราชทานปริญญาบัตร ผมได้เห็นพระพักตร์ในหลวงใกล้ๆ ประมาณ 3 เมตร นั่งรถโรลสรอยซ์โบราณสีไข่ไก่เป็นครั้งแรก
ทุกปีพ่อกับแม่จะพาไปเที่ยวหัวหิน ตอนนั้นอายุราว 6 ขวบ ขณะที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนานกับ ใหญ่ กลาง และ อ้อย บังเอิญมีเรือใบลำเล็กๆ แล่นโฉบไปมาห่างๆ
สักพักเรือใบลำเดียวกันก็ได้ตีโค้งแบบตวัดพู่กันโฉบมาหาพวกเราเหมือนอยากจะเล่นด้วย พอเรือโฉบมา
ใกล้ระยะน้ำจากเรือกระเซ็นโดน ได้เห็นหน้าคนขับเรือชัดๆ พวกเราถึงกับตาค้างหยุดว่ายน้ำยืนแน่นิ่งโดยไม่มีใครพูดจา
สักครู่หนึ่งทุกคนก็ตะโกนออกมาพร้อมๆ กันว่า “ในหลวง” แล้วรีบวิ่งแจ้นขึ้นจากน้ำไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ทำหน้าตื่นเต้นแล้วบอกว่าเป็นบุญวาสนานะลูก ในปีเดียวกันในหลวงได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบในกีฬาเซียบเกมส์ ครั้งที่ 5 (ปัจจุบันเรียกว่าซีเกมส์) และได้รับรางวัลเกียรติคุณจากโอลิมปิกสากล เนื่องจากเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ชนะการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ
อายุ 11 ปี พ่อได้แนะนำให้ผมรู้จักกับกีฬากอล์ฟ กีฬาที่ทำให้ผมหายใจเข้าออกเป็นคำว่า “กอล์ฟ” ผมอยากเล่น อยากแข่ง อยากเป็นผู้ชนะ โดยเฉพาะอยากเป็นแชมป์รายการ คิงส์คัพ ที่หัวหิน เนื่องจากเป็นรายการที่ในหลวงพระราชทานถ้วยรางวัลด้วยพระองค์เอง
ผมหมั่นฝึกซ้อมอย่างหนักและเข้าแข่งขันจนได้รองแชมป์ในปี 2515 ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารับพระราชทานถ้วยรางวัลจากพระองค์ที่พระตำหนักสวนจิตรลดาฯ ขณะที่ยื่นมือรับพระราชทานถ้วยรางวัลจากพระหัตถ์ ผมรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าสถิตถ่ายทอดมาสู่มือ ลามขึ้นมาที่แขนและลงสู่ลำตัว มันทำให้ผมรู้สึกชาจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ในที่สุดเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังมาบอกกับผมว่า พระราชทานเสร็จแล้วหนู
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่ทุกคนกำลังเข้าแถวเคารพธงชาติที่โรงเรียน เสียงจากไมโครโฟนประกาศว่า ด.ช.สิทธิศักดิ์ นันทเทิม นักเรียนชั้น ม.ศ.2ค เข้ารับพระราชทานถ้วยรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมได้ยินเสียงปรบมือดังพอประมาณ แต่สำหรับผมแล้วเสียงปรบมือไม่ได้มีอะไรเทียบเท่ากับการได้เข้าเฝ้าแทบพระบาทในหลวง
ตอนเป็นนิสิต มีประกาศจากวิทยุจุฬาฯ ว่าวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จทรงดนตรีที่หอประชุมใหญ่จุฬาฯ โดยไม่ต้องคิด ผมโดดเรียน บอกเลิกนัดที่มีทั้งหมด เพราะต้องการดูในหลวงทรงดนตรี ผมไปคนเดียว รู้สึกเหมือนกับอยากเข้าเฝ้าในหลวงอีกครั้ง
หอประชุมแน่นขนัด ผมต้องยืนอยู่ด้านนอก จะยืน อยู่ที่ไหนไม่สำคัญ ขอให้ได้ดูพระองค์ท่านวงดนตรีเป็นวงเครื่องเป่าราว 10 ชิ้น เล่นเพลงไทยพระราชนิพนธ์ปนเพลงฝรั่งสไตล์ แสตนดาร์ด แจ๊ส จนถึงปัจจุบันนี้ผมยังไม่เชื่อหูตัวเองเลยว่าดนตรีอะไรจะไพเราะได้ขนาดนั้น ไม่ใช่ไพเราะเพราะในหลวงเล่น แต่ไพเราะเพราะบทเพลงนั้นไพเราะจริงๆ ท่วงทำนองนุ่มเนียน และลึกซึ้ง โดยเฉพาะตอนที่ในหลวงทรงอิมโพรไวซ์ด้วยแซกโซโฟนนั้นสามารถสะกดคนดูทั้งหอประชุมให้ตกอยู่ในภวังค์
หลังจากจบเพลงแต่ละเพลง พระองค์จะคุยกับนิสิต เล่าเรื่องราวต่างๆ ราวกับเป็นเอนเทอร์เทนเนอร์มืออาชีพ มีอยู่ตอนหนึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า วันนี้ข้าพเจ้าไปหาหมอฟันเพราะมีอาการปวดฟัน หมอฟันวินิจฉัยเสร็จสรรพ แล้วบอกว่าคงต้องอุดฟัน ข้าพเจ้าจึงบอกกับหมอฟันว่า จะอุดยังไงก็ได้ แต่ขอให้ได้เล่นที่คอนเสิร์ตเย็นนี้ เพราะฉะนั้นหากข้าพเจ้าเป่าเพี้ยนไปบ้างเป็นบางโน้ต ก็ขอให้ไปโทษเอาที่หมอฟันก็แล้วกัน
ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เข้าเฝ้าในหลวงใกล้ๆ ก็คือตอนที่เข้ารับปริญญานิเทศศาสตร์บัณฑิต ตอนก่อนรับพระราชทาน ผมไว้ผมยาวถึงหลัง แม่บอกว่ามันไม่สมควรน่าจะตัดให้เรียบร้อย แต่ด้วยความที่ตอนนั้นทำตัวเป็นฮิปปี้ชอบไว้ผมยาวเป็นชีวิตจิตใจ ผมจึงตอบปฏิเสธ
แต่แล้วในวันก่อนรับพระราชทานปริญญา ผมก็ได้ตัดสินใจไปตัดผมเป็นรองทรง เพื่อแสดงความเคารพต่อพระองค์ท่านนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นในหลวงในระยะใกล้ๆ
อย่างไรก็ตามผมยังคงได้ยินและได้เห็นในหลวงทางวิทยุ ในทีวีและในสิ่งพิมพ์ ผมได้เห็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงพระราชทานให้กับประชาชนชาวไทยเสมอมา โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองคับขันมีปัญหา พระองค์จะเสด็จออกมาพลิกสถานการณ์ให้กลับกลายเป็นดีได้เสมอ
วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2549 แม่มาปลุกแต่เช้าบอกว่าตื่นได้แล้ว ตื่นมาดูพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
เมื่อดูทีวีแล้วต้องขนลุกซู่ด้วยความปลื้มปิติ ประชาชนหลายแสนคนใส่เสื้อเหลืองมาร่วมถวายพระพร ดูยิ่งใหญ่ แบบไม่เคยปรากฏแห่งใดในโลก
ผมดูทีวีทั้งน้ำตา พระองค์ทรงชราภาพไปมากเดินเหินไม่คล่อง พูดเสียงสั่นเครือ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ ความรัก ความห่วงใย ความปรารถนาดีและการดูแลทุกข์สุขของคนไทย
สำหรับผมในหลวงไม่เคยไปไหน พระองค์ยังคงคอยปกป้องรักษาปวงผองไทยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
พระองค์ไม่ใช่ใครอื่น พระองค์คือ ในหลวง ที่เป็นเทวดาในหัวใจของพวกเรา
Photo credit : www.sopon.ac.th